8 เหตุผล ทำไมหุ้นกู้แสนสิริถึงขายหมด 2,000 ล้านภายใน 8 นาที

19 กรกฎาคม 2565 บริษัทแสนสิริเปิดขายหุ้นกู้ที่มีชื่อว่า “หุ้นกู้ดิจิทัลของบริษัทแสนสิริจำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 3/2565 ชุดที่ 3 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2569” ผ่านทางแอปพริเคชัน เป๋าตัง ของทางธนาคารกรุงไทยเป็นครั้งที่สอง ปรากฎว่าได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี หุ้นกู้ที่นำมาเสนอขายสามารถขายได้หมด 2,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลาเพียง 8 วินาที เราจึงได้รวมรวมข้อมูลเพื่อไขข้อสงสัยว่าสาเหตุใดที่ทำให้หุ้นกู้แสนสิริได้รับความสนใจขนาดนี้ โดยสามารถสรุปได้เป็น 8 ประเด็นดังรายละเอียดต่อไปนี้

1.ผลตอบแทนสูงขึ้น

หุ้นกู้และหุ้นกู้ดิจิทัลของบริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) ที่นำออกมาเสนอขายในรอบ 3/2565 ให้ผลตอบแทนเป็นอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ 4.00% ต่อปี ซึ่งหากเปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ยของการออกหุ้นกู้รอบก่อนหน้านี้จะพบว่า ครั้งที่ 1 ให้ดอกเบี้ย 3.10% และครั้งที่ 2 ให้ดอกเบี้ย 3.75% ถือว่าในรอบที่ 3 นี้ดอกเบี้ยสูงขึ้นพอสมควร ช่วยเพิ่มแรงจูงใจให้แก่นักลงทุนผู้ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนในอัตราที่สูงได้

2.ให้ Passive income ตลอด 4 ปี 

สำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทที่สามารถสร้างกระแสเงินสดจากการลงทุนให้แก่ผู้ลงทุนได้ หุ้นกู้แสนสิริถือว่าสอบผ่านโจทย์ข้อนี้ได้อย่างลงตัว เนื่องจากทุก ๆ รอบระยะเวลา 3 เดือน ผู้ถือหุ้นกู้จะได้รับดอกเบี้ยเป็นผลตอบแทนตลอดอายุสัญญา

3.ซื้อง่ายผ่านแอป “เป๋าตัง” 

ช่องทางการจัดจำหน่ายในครั้งนี้ถือว่าพิเศษกว่าครั้งก่อน ๆ โดยเปิดให้สามารถจองสิทธิซื้อผ่านแอปพริเคชัน “เป๋าตัง” ที่โดยส่วนมากบุคคลทั่วไปใช้และมีอยู่ติดเครื่องอยู่แล้ว ทำให้เกิดความคุ้นเคย สามารถเปิดแอปพริเคชันเข้าไปจับจองซื้อหุ้นกู้ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว

4.เงินน้อยก็ซื้อได้

ทางผู้ออกหุ้นกู้ได้ออกเสนอขายหุ้นกู้หน่วยละ 1,000 บาท และกำหนดการจองซื้อขั้นต่ำที่ 1,000 บาท ดังนั้นผู้ที่สนใจอยากจะลงทุนในหุ้นกู้ชนิดนี้จึงสามารถเริ่มต้นลงทุนได้ด้วยเงินจำนวนตั้งแต่ 1,000 บาท เป็นต้นไป (หนึ่งคนไม่สามารถซื้อได้เกิน 50,000,000 บาท)

5.หุ้นกู้ระดับ investment grade

หากใครที่เคยลงทุนในหุ้นกู้หรือมีการซื้อขายหุ้นกู้อยู่เป็นประจำอยู่แล้วจะทราบดีว่า หุ้นกู้แต่ละชุดจะถูกจัดอันดับความน่าเชื่อถือก่อนออกวางจำหน่ายเสมอ เพื่อใช้เป็นข้อมูลและป้องกันนักลงทุนจากความเสี่ยง ซึ่งระดับความน่าเชื่อถือจะถูกแบ่งออกเป็นระดับต่าง ๆ ดังรูปภาพด้านล่าง

ขอบคุณภาพจากhttps://www.thaibma.or.th/EN/homeEN.aspx

ภาพแสดงการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้

ซึ่งหุ้นกู้ของแสนสิรินั้นได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในระดับ BBB+ ถือว่าอยู่ในกลุ่ม Investment Grade มีระดับความเสี่ยงที่ไม่สูงมากนัก

6.กระจายความเสี่ยงการลงทุน

หลักการกระจายการลงทุน หรือ Asset Allocation เป็นวิธีการป้องกันความเสี่ยงจากการลงทุนที่นักลงทุนควรให้ความสนใจเป็นพื้นฐาน หากนำเงินทั้งหมดลงทุนไปในสินทรัพย์เดียวโดยไม่กระจายความเสี่ยงแล้วสินทรัพย์นั้นเกิดสูญมูลค่า จะทำให้พอร์ตการลงทุนทั้งพอร์ตของผู้ลงทุนเสียหายในทันที ดังนั้นการจัดสรรเงินจำนวนหนึ่งเพื่อมาลงทุนในหุ้นกู้ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงระดับปานกลางเช่นนี้ จึงถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ 

7.สินทรัพย์เสี่ยงอยู่ในช่วงขาลง

ในปีพ.ศ. 2565 หลังจากผ่านพ้นช่วงต้นปีและเข้าสู่ช่วงกลางปี ราคาของสินทรัพย์ทั่วโลกต่างพากันลดตัวลงถ้วนหน้า ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นไทย ตลาดหุ้นต่างประเทศ สินทรัพย์ดิจิทัล บิทคอยน์ หรือแม้แต่ทองคำยังปรับตัวลงเช่นเดียวกัน สาเหตุเนื่องมาจากมาตราทางด้านการเงินที่แต่ละประเทศได้ประกาศใช้ เช่นการดึงเงินกลับของสหรัฐอเมริกา (Quantitative tightening – QT) การประกาศขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาค่าเงินเฟ้อของทั่วโลก ตลาดจึงได้รับความสนใจน้อยลง นักลงทุนต่างพากันถือเงินสดหรือหันมาซื้อเงินดอลลาร์มากยิ่งขึ้น   

8.ป้องกันความเสี่ยงจาก Recession ที่อาจจะเกิดขึ้น

มีการคาดการณ์กันว่าในช่วงท้ายปี 2565 ที่จะถึงนี้ เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงและอาจเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจทดถอยหรือที่เรียกว่า Recessoin ทำให้นักลงทุนเกิดความไม่มั่นใจและโยกย้ายเงินจากสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมาก มาสู่สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อยลง อย่างเช่น หุ้นกู้ เป็นต้น 

หมายเหตุ

บทความนี้ไม่ใช่บทความแนะนำการลงทุน เนื้อหาในบทความนี้เกิดจากการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลมานำเสนอแก่ผู้ที่มีความสนใจเท่านั้น ผู้ที่สนใจลงทุนควรศึกษารายละเอียดและทำความเข้าใจลักษณะของสินทรัพย์ลงทุนนั้น ๆ รวมถึงเงื่อนไขผลตอบแทน และประเมินความเสี่ยงให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง

แท็กที่เกี่ยวข้อง
Facebook
Twitter
LinkedIn