James Farley ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี (Ford Motor Co.) เข้าเยี่ยมชมฐานการผลิตรถยนต์ฟอร์ดในจังหวัดระยองเป็นครั้งแรก ตอกย้ำบทบาทของไทยในฐานะตลาดสำคัญและศูนย์กลางการผลิตและส่งออกรถยนต์ระดับโลกของฟอร์ด
สำหรับฟอร์ด เข้ามาลงทุนในไทยตั้งแต่ปี 2538 ปัจจุบันมีโรงงานผลิต 2 แห่งในจังหวัดระยอง คือ โรงงานฟอร์ด ไทยแลนด์ แมนูแฟคเจอร์ริ่ง (เอฟทีเอ็ม) ซึ่งเป็นการลงทุนของฟอร์ด 100% และโรงงานออโต้อัลลายแอนซ์ ประเทศไทย (AAT) โรงงานร่วมทุนกับมาสด้า
ซึ่งปัจจุบันการผลิตรถยนต์ในไทย ประกอบไปด้วย ปิกอัพ ฟอร์ดเรนเจอร์ และฟอร์ด เอเวอเรสต์ ซึ่งล่าสุด รถรุ่นใหม่ๆ ก็ยังได้รับการตอบรับที่น่าพอใจ และทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยในเดือนสิงหาคมมียอดขายสูงสุดเป็นอันดับที่ 4 ของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การดำเนินงาน 26 ปี ของฟอร์ดในประเทศไทย และมียอดขายตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม รวม 23,216 คัน
การมาของ จิม ฟาร์ลีย์ และ คูมาร์ กัลโฮทรา ประธานฟอร์ด บลู ในครั้งนี้ ใช้เวลาส่วนหนึ่งในการพบปะพูดคุยกับพนักงานในสายการผลิต และร่วมกิจกรรมต่างๆ รวมถึงเยี่ยมชมการทำงานของตัวแทนจำหน่ายฟอร์ดในจังหวัดระยองอีกด้วย พร้อมชมการสาธิตการนำกลยุทธ์ ‘ฟอร์ด พลัส’ มาปรับใช้ในการดำเนินงาน
และ ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี ยังเป็นหนึ่งในบริษัทยานยนต์ผู้ลงทุนรายใหญ่ในไทย มูลค่าการลงทุนสะสมกว่า 3,400 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1 แสนล้านบาท โดยล่าสุดคือการประกาศลงทุน 2.8 หมื่นล้านบาทในปี 2564 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ การลงทุนดังกล่าวเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การขับเคลื่อนธุรกิจ “ฟอร์ด พลัส” (Ford+) โดยเพิ่มการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ 25 ปี การดำเนินธุรกิจในไทย
เพิ่มจ้างงาน โรงงาน-ซัพพลายเออร์
โดย 900 ล้านดอลลาร์การลงทุนครั้งนี้แบ่งเป็นการสนับสนุน ซัพพลายเออร์ ยกระดับการผลิต รองรับรถรุ่นใหม่ 400 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท เพื่อส่งเสริมธุรกิจในห่วงโซ่อุปทาน และเพิ่มการจ้างงานของพันธมิตรทางธุรกิจอีกกว่า 250 ตำแหน่ง
และอีก 500 ล้านดอลลาร์ หรือ ประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท เป็นการใช้ปรับปรุงโรงงานผลิตทั้ง 2 แห่ง ในจังหวัดระยอง คือ ออโต้อัลลายแลนซ์ ประเทศไทย หรือ AAT และโรงงาน ฟอร์ด ไทยแลนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง หรือ เอฟทีเอ็ม รวมถึงการจ้างงานเพิ่มทั้ง 2 โรงงาน อีก 1,250 คน ทำให้มีพนักงานรวมทั้งสิ้นกว่า 9,000 คน
“การลงทุนครั้งนี้นับว่าเป็นก้าวสำคัญในการต่อยอดความมุ่งมั่นของฟอร์ดตลอดระยะเวลา 25 ปี ซึ่งจะทำให้เรายกระดับการดำเนินงานให้มีความทันสมัยยิ่งขึ้น พร้อมรองรับการผลิตฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชัน ใหม่ หนึ่งในรถที่มียอดการผลิตสูงสุด และมียอดขายสูงสุดทั่วโลก”
การเพิ่มหุ่นยนต์ในสายการผลิต 356 ตัว
การเพิ่มหุ่นยนต์อุตสาหกรรม หรือ โรบอท จำนวน 356 ตัว รวมกับที่มีอยู่แล้วเป็นทั้งสิ้น 700 ตัว เพื่อเสริมกำลังการผลิตทั้งที่โรงงาน AAT และ FTM โดยหุ่นยนต์ที่เพิ่มขึ้นจะนำมาใช้ในส่วนงานประกอบตัวถัง งานพ่นสี ซึ่งจะทำให้ฟอร์ดมีจำนวนเครื่องจักรในส่วนงานประกอบตัวถังเพิ่มขึ้นจาก 34% เป็น 80% ในโรงงาน FTM และ 69% ใน AAT
นอกจากนี้ยังลงทุนเครื่องมือทันสมัยอื่นๆ เช่น เครื่องมือสแกน บ็อกซ์ เพื่อสแกนชิ้นส่วนต่างๆ แบบ 3 มิติ ได้อย่างแม่นยำ และรวดเร็วกว่าเครื่องมือแบบเดิมถึง 5 เท่า จากที่ใช้เวลา 240 นาที/คัน เหลือ 15 นาที และลงทุนกับเครื่องจักรพับขอบประตูตัวถัง เครื่องมือสแกนสี สำหรับรถที่ทำสีเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้การติดตั้งเครื่องจักรใหม่ ยังนำผู้เชี่ยวชาญกว่า 500 คน จากต่างประเทศเข้ามาฝึกอบรมพนักงานในโรงงานอีกด้วย
และที่สำคัญอีกอย่างคือ โรงงาน FTM และ AAT ได้ยกระดับเรื่องสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการใช้พลังงานทดแทน ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ รวมไปถึงการยกเลิกการกำจัดขยะด้วยวิธีฝังกลบ
เพิ่มผลิต-ส่งออก-ขายในประเทศ
การยกระดับโรงงานครั้งนี้ รวมถึงการเพิ่มกะการผลิตช่วงกลางคืน จะทำให้ฟอร์ดสามารถเพิ่มการผลิตได้มากขึ้น จากเดิมประมาณ 2.3 แสนคันต่อปี เป็น 2.8 แสนคันต่อปี เพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่คาดว่จะเพิ่มสูงขุึ้นในอนาคต รวมถึงการส่งออก ที่จะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน โดยเป้าหมายการส่งออก เรนเจอร์ใหม่ที่จะเริ่มต้นผลิตและทำตลาดกลางปี 2565 อยู่ที่ 60% ของการผลิตทั้งหมด โดยมีตลาดเป้าหมายมากกว่า 100 ประเทศ
ทั้งนี้การเยือนไทยครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่มีข่าวจากผู้บริหารฟอร์ด ในงาน ดีทรอยท์ ออโต้ โชว์ ที่เมืองดีทรอยท์ มิชิแกน สหรัฐอเมริกา ที่ระบุว่า ฟอร์ด กำลังวางแผนที่จะผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทย เพื่อรองรับการทำตลาดในประเทศ และส่งออกไปยังอีกหลายประเทศ
ที่มา : bangkokbiznews